ข่าวสารเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมชีวภาพ

ไทยคุมเข้ม! ออกเกณฑ์นำเข้าขยะกระดาษใหม่ สกัดสิ่งปะปน ดันรีไซเคิลสู่ความยั่งยืน

การนำเข้าเศษกระดาษเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความต้องการในอุตสาหกรรมรีไซเคิล กรมควบคุมมลพิษจึงออกเกณฑ์ใหม่คุมเข้มสิ่งปะปน เช่น พลาสติกและขยะต้องห้าม โดยอิงมาตรฐานสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
ปัจจุบัน ประเทศไทยนำเข้าเศษกระดาษจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2566 ประเทศไทยนำเข้าเศษกระดาษกว่า 2.71 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 60% (1.7 ล้านตัน) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการวัตถุดิบในอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้ส่งออกกระดาษรีไซเคิลรายใหญ่ที่สุดให้กับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการนำเข้าเศษกระดาษ ภายในตู้สินค้ามีวัสดุชนิดอื่นปะปนจำนวนมาก จึงเข้าข่ายเป็นขยะเทศบาล (Municipal Waste) กรมควบคุมมลพิษจึงกำหนดมาตรฐานใหม่ โดยกำหนดให้เศษกระดาษที่นำเข้า ต้องมีสิ่งปะปนไม่เกิน 2% สำหรับกระดาษที่แยกชนิดแล้ว และ ไม่เกิน 3% สำหรับเศษกระดาษรวม นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์กระดาษที่ผลิตได้ในประเทศจะถูกใช้เพื่อการบริโภคในประเทศและเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ส่งออก ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษเยื่อใยยาวที่ทำจากไม้สนต่างประเทศที่ไม่มีในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องนำเข้ากระดาษที่ใช้แล้วจากต่างประเทศ หรือ “กระดาษหรือกระดาษแข็งที่นำกลับคืนมาใช้ได้อีก” ตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 47.07 แต่ในกรณีที่มีการปนเปื้อนด้วยวัสดุอื่น เช่น พลาสติก ยางไม้ สิ่งทอ แก้ว โลหะ เศษอาหาร เฟอร์นิเจอร์แตกหัก และของชำรุดหรือของทิ้งอื่นๆ จะเข้าข่ายเป็นขยะเทศบาล พิกัดอัตราศุลกากร 3825.10.00 ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2562 ภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 นางสาวปรีญาพร กล่าวด้วยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา กรมควบคุมมลพิษ ได้ร่วมกับ กรมศุลกากร และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจพบตู้สินค้าซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็นกระดาษหรือกระดาษแข็งที่นำกลับคืนมาใช้ได้อีก ตามพิกัดอัตราศุลกากร 47.07 แต่ภายในตู้สินค้ามีวัสดุชนิดอื่นปะปนจำนวนมาก อาทิ โฟม เศษพลาสติก เศษผ้า กระป๋องน้ำอัดลม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผ้าอ้อม ถุงมือทางการแพทย์ใช้แล้ว เข้าข่ายเป็นขยะเทศบาล ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่านราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงานของหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าเศษกระดาษรวมถึงภาคเอกชนที่นำเข้าสินค้าดังกล่าว กรมควบคุมมลพิษจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานกำหนดมาตรการกำกับควบคุมการนำเข้าเศษกระดาษและหลักเกณฑ์การพิจารณาระดับสิ่งปะปนของเศษกระดาษที่จะอนุญาตให้นำเข้า โดยมีกรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นคณะทำงาน ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษ ได้ออกประกาศ “หลักเกณฑ์การพิจารณาระดับสิ่งปะปนของเศษกระดาษที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมการนำเข้าเศษกระดาษอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งประกาศฉบับนี้อิงจากมาตรฐานของสหภาพยุโรป โดยกำหนดสิ่งต้องห้ามในเศษกระดาษ ได้แก่ สารเคมีอันตรายและวัตถุอันตราย กัมมันตภาพรังสี มูลฝอยติดเชื้อ ขยะพิษจากชุมชนนอกจากนั้น กำหนดร้อยละของสิ่งปะปนอื่นที่ไม่ใช่กระดาษ เช่น พลาสติก โลหะ แก้ว วัสดุสังเคราะห์ ไม้ ดิน เป็นต้น ต้องไม่เกิน 2 % สำหรับเศษกระดาษที่แยกชนิดมาแล้ว ได้แก่ 47.07.10 (กระดาษคราฟท์หรือกระดาษลูกฟูก) 47.07.20 (กระดาษขาว) 47.07.30 (กระดาษหนังสือพิมพ์) และไม่เกิน 3 % สำหรับเศษกระดาษรวม ตามพิกัดอัตราศุลกากร 47.07.90
bangkokbiznews