ข่าวสารเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมชีวภาพ

"เอเชียก้าวสู่ผู้นำ ขับเคลื่อนโลกไร้มลพิษพลาสติก"

สอดรับกับกระแสการรณรงค์ “#BeatPlasticPollution” เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ปีนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางจัดการปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานวัตกรรม การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการผลักดันนโยบายที่มุ่งสู่ความยั่งยืน ในปีนี้ การเฉลิมฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลกที่จัดขึ้นโดยสาธารณรัฐเกาหลี ได้กลายเป็นแรงกระเพื่อมที่สะท้อนมาถึงทั้งภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ที่หลายประเทศเริ่มขับเคลื่อนแนวทางลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง นับเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกในประเด็นพลาสติก ด้วยการเดินหน้าเจรจาสู่สนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก ที่มุ่งหวังให้เกิดกรอบความร่วมมืออย่างเป็นระบบในการลดมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามอีกต่อไป แต่เริ่มก้าวสู่การเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
จากความมุ่งมั่นสู่ความก้าวหน้า ครั้งหนึ่งเคยถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคของโลกที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมลพิษจากพลาสติก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กําลังกลายเป็นศูนย์กลางของการดําเนินการ นวัตกรรม และความร่วมมือข้ามพรมแดนเพื่อย้อนกลับวิกฤต อาเซียนผนึกกำลังสู้ศึกขยะทะเล จากคำมั่นสัญญา สู่แผนปฏิบัติการ และวิสัยทัศน์เศรษฐกิจสีน้ำเงิน ในปี 2562 ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อสู้กับขยะในทะเล" ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันเพื่อปกป้องชายฝั่งทะเล ชุมชน และเศรษฐกิจจากปัญหาขยะ สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภูมิภาคในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญนี้ หลังจากนั้น ในปี 2564 อาเซียนได้พัฒนา "แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคของอาเซียนเพื่อต่อสู้กับขยะในทะเล" ซึ่งเป็นแนวทางและขั้นตอนที่ชัดเจนในการดำเนินการตามปฏิญญาดังกล่าว เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถนำไปปรับใช้และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่นั้นมา ความคืบหน้าก็เร่งขึ้น Global Plastic Action Partnership (GPAP) ของ World Economic Forum สนับสนุนประเทศต่างๆ ผ่านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม แนวทางที่ใช้ระบบเพื่อจัดการกับมลพิษจากพลาสติก ด้วยความร่วมมือระดับชาติ 25 แห่ง GPAP เป็นโครงการริเริ่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการจัดการกับมลพิษจากพลาสติก ประเทศแรกในโลกที่เข้าร่วม GPAP คืออินโดนีเซีย ซึ่งเปิดตัว Indonesia National Plastic Action Partnership (NPAP) ในปี 2562 ตามด้วยเวียดนามในปี 2563 GPAPs และ NPAPs ได้ขยายรอยเท้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมา อเชียตะวันออกเฉียงใต้เร่งเครื่องสู่การหมุนเวียนพลาสติก เดินหน้าความร่วมมือระดับภูมิภาคและโลก ในปี 2568 หกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และบังกลาเทศ ได้รับรองและดำเนินงานตามรูปแบบ National Plastic Action Partnerships (NPAPs) เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างยั่งยืน โดยมีหลักการดำเนินงานสำคัญสามประการ ได้แก่ การมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่นและผลกระทบที่จับต้องได้ การใช้ข้อมูลและหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ในการวางแผนและคาดการณ์ผลลัพธ์ การออกแบบแนวทางแบบองค์รวมที่ครอบคลุมกลุ่มชายขอบ เช่น ผู้หญิง เยาวชน ภาคนอกระบบ NPAPs ส่งเสริมความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา ผ่านคณะทำงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่ม พร้อมทั้งสนับสนุนการขยายนวัตกรรมในท้องถิ่นและการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาพลาสติก ตัวอย่างของความริเริ่มเหล่านี้ ได้แก่: ฟิลิปปินส์: การจัดตั้งคณะทำงานด้านการรีไซเคิลพลาสติกแบบยืดหยุ่น โดยผนึกกำลังผู้รีไซเคิล บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อพัฒนาโซลูชันแบบหมุนเวียนร่วมกัน กัมพูชา: โครงการ River Ocean Cleanup ที่เชื่อมโยงการเก็บข้อมูลขยะ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และกิจกรรมรณรงค์เพื่อเพิ่มผลกระทบและการมีส่วนร่วมของชุมชน เวียดนาม: โครงการ VietCycle ที่เน้นการฝึกอบรมผู้จัดการขยะในระบบนอกอย่างยั่งยืน พร้อมกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างนิทรรศการร่วมกับมหาวิทยาลัย เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และบทบาทของคนงานขยะ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคกำลังเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมประจำปีภายใต้ความร่วมมือของอาเซียนและ NPAPs กลายเป็นเวทีสำคัญในการประเมินความก้าวหน้าและวางแนวทางเชิงกลยุทธ์ร่วมกัน ซึ่งในปีนี้จะจัดขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2567 การประชุมที่นำโดย สปป.ลาว นำไปสู่การประกาศ “ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการหมุนเวียนพลาสติก” ซึ่งเน้นย้ำการแลกเปลี่ยนความรู้ ความร่วมมือข้ามภาคส่วน และการสนับสนุนทางเทคนิคและการเงินเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ปี 2568 ยังถูกจับตามองในฐานะ “จุดเปลี่ยน” ระดับโลกของการจัดการปัญหาพลาสติก เนื่องจากคาดว่าจะมีการสรุปสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนสิงหาคม รายงานล่าสุดของ Global Green Growth Institute (GGGI) ชี้ว่า ประเทศกำลังพัฒนายังต้องการการสนับสนุนระหว่างประเทศอย่างตรงจุด โดยเฉพาะในด้านการขับเคลื่อนระบบความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) กลไกการเงินแบบใหม่ และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างประเทศที่มีบริบทใกล้เคียงกัน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ GGGI ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ World Economic Forum ในเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อผสานความเชี่ยวชาญเชิงนโยบายเข้ากับแพลตฟอร์มระดับโลกของ Forum ในการผลักดันประเด็นเร่งด่วนอย่างการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า การรวมพลังจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับนานาชาติสามารถแปรเปลี่ยนโครงการนำร่องให้กลายเป็นนโยบายที่ขยายผลได้จริง พร้อมวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นธรรม ปลอดพลาสติก และยั่งยืนในระยะยาว.
bangkokbiznews